สรุปบทที่ 7
ระบบสารสนเทศสำหรับสนับสนุนการตัดสินใจด้านการบริหาร
การจัดการกับการตัดสินใจ
การจัดการ (Management)
การจัดการ (Management) หมายถึง การบริหารอย่างเป็นระบบ
ประกอบด้วยกิจกรรมของกลุ่มบุคคลที่ร่วมมือกันทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
โดยใช้กระบวนการและทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การจัดการเป็นศาสตร์และศิลปะ
ประกอบด้วย
- การวางแผน (Planning)
- การจัดองค์การ (Organizing)
- การสั่งการหรือการอำนวยการ (Leading/Directing)
- การควบคุม (controlling)
ผู้บริหารจะต้องนำเอาความรู้ ความเข้าใจในศาสตร์การบริหาร มาประยุกต์ใช้กับการทำงานตามสถานการณ์
และสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารต้องเลือกและวิเคราะห์ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหราและการตัดสินใจ
ระดับของการจัดการ แบ่งเป็น 3
ระดับ คือ
การจัดการระดับสูง (Upper-level Management)
ผู้บริหารระดับสูง มีหน้าที่ กำหนดวิสัยทัศน์ นโยบาย เป้าหมาย
วัตถุประสงค์ วางแผนกลยุทธ์ และแผนระยะยาวขององค์การ
สารสนเทศที่ใช้ มีขอบเขตกว้าง เกี่ยวกับแนวโน้มต่างๆ
ทั้งภายในและสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กร
การจัดการระดับกลาง (Middle-level Management)
ผู้บริหารระดับกลางมีหน้าที่
วางแผนยุทธวิธี และประสานงานระหว่างผู้บริหารระดับสูงและระดับต้น เช่น
หัวหน้าหน่วยงาน
การจัดการระดับต้น (Lower-level Management)
ผู้บริหารระดับต้น หรือหัวหน้างานมีหน้าที่
ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน ซึ่งขั้นตอนการทำงานมีรูปแบบแน่นอน
ทำงานใกล้ชิดกับผู้ปฏิบัติงาน
ข้อมูลที่ใช้ คือ
ข้อมูลจากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดนำมาวิเคราะห์
เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
การควบคุมให้เป็นไปตามแผนระยะสั้นที่วางไว้
การตัดสินใจ(Decision Making)
กระบวนการตัดสินใจประกอบด้วย
4 ขั้นตอน คือ
1. การใช้ความคิดประกอบเหตุผล (Intelligence) เป็นขั้นตอนที่รับรู้และตระหนักถึงปัญหาหรือโอกาสที่เกิดขึ้น
ทำการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
นำข้อมูลมาวิเคราะห์และตรวจสอบเพื่อแยกแยะและกำหนดรายละเอียดของปัญหาหรือโอกา
2. การออกแบบ (Design) เป็นขั้นตอนของการพัฒนาและวิเคราะห์ทางเลือกในการปฏิบัติที่เป็นไปได้
รวมถึงการตรวจสอบและประเมินทางเลือกในการแก้ปัญหา
ซึ่งอาจใช้ตัวแบบเพื่อสร้างทางเลือกต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา
หรือออกแบบหนทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
3. การคัดเลือก (Choice) ผู้ตัดสินใจจะเลือกแนวทางเลือกที่เมาะสมกับปัญหาและสถานการณ์มากที่สุด
โดยอาจใช้เครื่องมือมาช่วยวิเคราะห์
คำนวณค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนของแต่ละแนวทางเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าได้เลือกแนวทางที่ดีที่สุด
4. การนำไปใช้ (Implementation) เป็นขั้นตอนที่นำผลการตัดสินใจไปปฏิบัติและคิดตามผลของการปฏิบัติเพื่อตรวจสอบว่าการดำเนินงานมีประสิทธิภาพหรือมีข้อขัดข้องประการใด
จะต้องแก้ไข้หรือปรับปรุงให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์อย่างไร
ระดับของการตัดสินใจภายในองค์การ
1. การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ (Strategic Decision Making)
การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง
ที่ให้ความสนใจในอนาคต เช่น การกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์การ การกำหนดนโยบายและการวางแผนระยะยาว
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด
โดยทั่วไปสิ่งแวดล้อมในการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีความไม่แน่นอน
และไม่สามารถกำหนดขั้นตอนการตัดสินใจที่ชัดเจนไว้ล่วงหน้าได
2. การตัดสินใจเชิงยุทธวิธี (Tactical
Decision Making) การตัดสินใจเชิงยุทธวิธีเป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง
ซึ่งจะเกี่ยวกับการจัดการเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ตามที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนดไว้
การตัดสินในระดับนี้จะเกี่ยวข้องกับปัญหาในลักษณะแบบกึ่งโครงสร้าง เช่น
กาจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ การจัดสรรงบประมาณ
การกำหนดการผลิต การกำหนดยุทธวิธีทางการตลาด การวางแผนงบประมาณระยะกลาง
และการทำโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
3. การตัดสินใจเชิงปฏิบัติการ (Operational Decision Making) การตัดสินใจเชิงปฏิบัติการเป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับปฏิบัติการหรือหัวหน้างานซึ่งเกี่ยวข้องกับงานประจำหรือการปฏิบัติงานเฉพาะด้านต่างๆ
ที่เกิดขึ้นเป็นกิจวัตรเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสามารถปฏิบัติงานเหล่านั้นได้ตามแผนที่วางไว้อย่างสำเร็จและมีประสิทธิภาพ
เช่น การตัดสินใจในกระบวนการสั่งซื้อการควบคุมสินค้าคงคลัง
การตัดสินใจในระดับนี้เป็นการตัดสินใจเกี่ยวข้องกับปัญหาลักษณะแบบมีโครงสร้าง
ซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีการต่าง ๆ
สามารถกำหนดไว้ล่วงหน้าและทำการตัดสินใจได้โดยอัตโนมัติเนื่องจากจะเป็นปัญหาในเรื่องที่ซ้ำ
ๆ กัน ตัวอย่างของการตัดสินใจ เช่น
การกำหนดเวลาสั่งสินค้าคงคลังจำนวนวัตถุดิบที่จะสั่งซื้อแต่ละครั้ง
การวางแผนเบิกจ่ายวัสดุ และการมอบหมายงานให้พนักงานเป็นรายบุคคล
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ Decision Support System
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ คือ
ซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการ การรวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างตัวแบบที่ซับซ้อน
ภายใต้ซอฟต์แวร์เดียวกันเป็นการประสานงานระหว่างบุคลากรกับเทคโนโลยีทางด้านซอฟต์แวร์ เป็นการโต้ตอบกัน เพื่อแก้ปัญหาแบบไม่มีโครงสร้างประกอบด้วย
ชุดเครื่องมือ ข้อมูล ตัวแบบ และทรัพยากรอื่นๆ
ที่นักวิเคราะห์นำมาใช้ประเมินผลและแก้ไขปัญหา
โครงสร้างระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
1. ส่วนจัดการข้อมูล (Data
Management Subsystem)
2. ส่วนจัดการโมเดลหรือส่วนจัดการแบบจำลอง (Model Management Subsystem)
3. ส่วนการจัดการโต้ตอบ (Dialogue Management Subsystem)
4. ส่วนระบบจัดการฐานความรู้ (Knowledge-based Subsystem)
ผู้ใช้งานระบบ (The User)
ประเภทของระบบDSS เป็น 2 ประเภท คือ
1. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่ใช้รูปแบบเป็นหลัก ( Model driven DSS) เป็นระบบที่ใช้การจำลองสถานการณ์
และรูปแบบวิเคราะห์ต่างๆ
2.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่ใช้ข้อมูลเป็นหลัก ( Data
driven DSS) เป็นระบบที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากแหล่งต่างๆเพื่อนำมาวิเคราะห
ลักษณะและความสามารถของระบบ DSS
1.สนับสนุนการตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
2.สนับสนุนการทำงานของผู้บริหารในหลายระดับ
3.สนับสนุนแบบเฉพาะบุคคล กับแบบกลุ่ม
4.สนับสนุนการตัดสินใจที่เกี่ยวพันซึ่งกัน และปัญหาต่อเนื่อง
5.สนับสนุนทุกขั้นตอนของกระบวนการตัดสินใจ
6.สนับสนุนการตัดสินใจหลายรูปแบบ
7.สามารถปรับข้อมูลเพื่อจัดการกับเงื่อนไขต่างๆ
8.สามารถใช้งานได้ง่าย มีภาพประกอบ
9.เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ ทั้งในด้านความถูกต้องแม่นยำ
รวดเร็ว และคุณภาพของการตัดสินใจ
10.ผู้ทำการตัดสินใจสามารถควบคุมทุกขั้นตอนในการตัดสินใจ
แก้ปัญหา
11.ผู้ใช้สามารถสร้างและปรับปรุงระบบ DSS ขนาดเล็กได้
12. มีการใช้แบบจำลองต่างๆ
ช่วยในการวิเคราะห์สถานการณ์ตัดสินใจ
13. สามารถเข้าถึงข้อมูลจากหลายแหล่งได้
ทั้งภายในองค์การและภายนอกองค์การ
ประโยชน์ของ GDSS
1. ช่วยเตรียมความพร้อมในการประชุม
2. อำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารระหว่างสมาชิกในกลุ่ม
3. ส่งเสริมและสร้างบรรยากาศในการร่วมมือกันระหว่างสมาชิก
4. จัดเตรียมข้อมูลและสารสนเทศที่เหมาะสมในการประชุม
5. ช่วยจัดลำดับความสำคัญของปัญหา
6. อำนวยความสะดวกในการจัดทำเอกสารประกอบการประชุม
7. ช่วยประหยัดเวลาในการประชุม
และสามารถลดจำนวนครั้งของการประชุมได้
8. สนับสนุนการประมวลผลแบบคู่ขนาน
9. การประชุมร่วมระหว่างสมาชิกกลุ่มและการทำงานร่วมกัน
10. เพิ่มศักยภาพของการแสดงความคิดเห็น
11. อนุญาตให้กลุ่มสามารถใช้เทคนิคการแก้ปัญหาแบบมีโครงสร้าง
12. ง่ายในการเข้าถึงข้อมูลจากภายนอก
13. การติดต่อสื่อสารไม่ต้องเป็นแบบตามลำดับ
14. ให้ผลลัพธ์จากการออกเสียง
15. สามารถวางแผนล่วงหน้าในการประชุมกลุ่มได้
16. ผู้เข้าประชุมสามารถปฏิสัมพันธ์กันได้ทันที
17. สามารถเก็บข้อมูลในการประชุมไว้ในการพิจารณาหรือวิเคราะห์ครั้งต่อไปได้
แหล่งที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/502175
และ http://armka2518.exteen.com
แบบฝึกหัดบทที่
7
1. อะไรคือความแตกต่างระหว่างความสามารถของผู้บริหารในการเรียกข้อมูลออกมาใช้ตามความต้องการของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและความสามารถจัดการเรื่องบริหารการตัดสินใจโดยใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
ตอบ -
เพื่อสนับสนุนการจัดการในระหว่างขั้นตอนตัดสินใจระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่ใช้คือ
- รูปแบบจำลองในการวิเคราะห์
- ฐานข้อมูลเฉพาะ
- ผู้ที่ตัดสินใจหรือผู้ตัดสิน
- การติดต่อระหว่างกัน
ขั้นตอนการสร้างรูปแบบจำลองในระบบคอมพิวเตอร์เป็นสนับสนุนที่จัดทำขึ้นแบบกึ่งโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้างจากผู้จัดการแต่ละคน
2. ระบบงานการขายมีความก้าวหนักว่าแต่ก่อนมากเมื่อต้องการข้อมูลสำหรับการทำงานในองค์กรเนื่องจากความต้องการเรื่องกลยุทธ์เทคนิคและการบริหารการตัดสินใจในธุรกิจเปลี่ยนไป
ในกรศึกษาอธิบายเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง
ตอบ ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารจะต้องอาศัยชั้นเชิงในการบริหารที่เหนือกว่าคู่แข่ง
หรืออาศัยความว่องไวในการปรับตัวให้ทันต่อภาวะการแข่งขันที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
3. มีแนวทางไหนบ้างที่นักศึกษาใช้โปรแกรมตารางคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่นำมาช่วยในการตัดสินใจ
ตอบ การทำงานร่วมกันของระบบอินทราเน็ตกลายเป็นสิ่งเข้าอย่างรวดเร็ว ที่ทำให้กล่าวได้ว่า ระบบสารสนเทศของทุกๆคน ( Everyone s
Inforomation System ) ซึ้งเป็นแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่สำคัญ
4. ทำไมการใช้ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง
จึงขยายไปยังระดับกลาง และขยายไปทั่วหมดทุกแผนกในองค์การ
ตอบ บริหารระดับสูง
กำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์
นโยบายและการวางแผนภายในองค์กรและรวมของทิศทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ
และการแข่งขันทางธุรกิจ
บริหารระดับกลาง กำหนอตารางงบประมาณและนโยบายขั้นตอนการทำงานและเป้าหมายทางธุรกิจสำหรับหน่วยย่อยภายในองค์กร
การจัดสรรแหล่งข้อมูลและตรวจดูการทำงานของหน่วยย่อยภายในองค์กร ขั้นตอนการทำงานของทีมงาน ทีมงานโครงการและกลุ่มทำงาน
5. ทำไมเครื่องคอมพิวเตอร์จึงสามารถคิดได้ อธิบายเหตุผล
ตอบ คอมพิวเตอร์คือ
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์อเนกประสงค์ที่ได้สร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือ
(tools) สำหรับเพิ่มปรสิทธิภาพในการทำงานด้านต่างๆๆ
ให้ได้ตามต้องการของมนุษย์ เช่น ด้านการศึกษางานวิจัย วิทยาศาสตร์การแพทย์ ฯลฯ
6. การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในองค์กร ส่วนไหนสำคัญที่สุด บอกเหตุผลที่นักศึกษาเลือก
ตอบ ความเจริญก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์เป็นไปในทุกด้าน
ทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์การที่มีพัฒนาการเจริญก้าวหน้า
จึงทำให้นักคอมพิวเตอร์ตั้งความหวังที่จะทำให้คอมพิวเตอร์มีความฉลาดและสามารถตัดสินใจเพื่อช่วยทำงานของมนุษย์ได้มากขึ้น
โดยเฉพาะวิทยาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial
Intelligence : AI) ซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นวิทยาการที่จะช่วยให้มนุษย์ใช้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหาต่างๆ
ที่สำคัญ เช่นการให้คอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ รู้จักการใช้เหตุผล การเรียนรู้
ตลอดจนการสร้างหุ่นยนต์
7. การผสมผสานระหว่างระบบผู้เชี่ยวชาญและเครือเส้นประสาท จะก้าวหน้าต่ออย่างไรไม่หยุดยั้ง
นักศึกษาคาดหวังว่าจะเกิดเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่างไรบ้าง
ตอบ ระบบผู้เชี่ยวชาญและเครือข่ายเส้นประสาท
ซึ่งสามารถร่วมกันทำงานภายในระบบที่มีการเตรียมการทำงานที่ดีที่สุดของเทคโนโลยี
8. อะไรคือขอบเขตจำกัด หรืออันตรายที่นักศึกษามองเห็น
ในการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ ความจริงเสมือน
และตัวแทนสติปัญญา และอะไรที่จะลดขนาดของผลกระทบเหล่านี้ลงได้
ตอบ เป็นการจำลองเหตตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ความจริงเสมือนจิงเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ที่พยายามที่จะสร้างให้เป็นธรรมชาติ
ดูเสมือนจริงมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์
ที่อาศัยอุปกรณ์ป้อนข้อมูลและส่งข้อมูลที่มีหลากหลายทางความรู้สึก เช่น
หูฟังกับเครื่องเล่นวีดีทัศน์ ถุงมือส่งข้อมูลและชุดเสื้อกางเกงกับตัวตรวจจับไฟเบอร์ออฟติคที่ติดไว้ตามร่างกายของคุณเวลาที่คุณเคลื่อนไหว
แหล่งที่มา
: สุกัญญา
กรณีศึกษา
1. อะไรเป็นมูลค่าทางธุรกิจของการประมวลผลการวิเคราะห์ออนไลน์ของบริษัท
Office Depot
ตอบ
บริษัทสูญเสียพนักงานที่มีประสิทธิภาพกว่า 12
คนซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยเหลือในการสร้างารายงานของการขายสินค้าใน 600
ร้านทั่วโลก
2. บริษัท Office
Depot ได้ผลจากการลงทุนสำหรับเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำ OLAP ไปใช้งานอย่างไร
ตอบ โดยเป็นการใช้งานจากลูกค้าจำนวน 200
รายและผู้บริหารทางด้านการเงิน บริษัท Office Depot ได้จัดสร้าง สิ่งที่ถูกต้อง สมควร ( Respectable ) ซึ่งทำให้การขายสูงถึง
4 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปีหลัง
โดยกลุ่มคนที่เป็นผู้ค้าร่วมกับเครื่องมือในการวิเคราะห์ของตัวเอง
3. บริษัท Office
Depot ควรที่จะมีการเตรียมให้ผู้จัดส่งสินค้าผ่านเอ็กซ์ทราเน็ตเพื่อเข้าถึงข้อมูลทางการตลาดหรือไม่ เพราะอะไร
ตอบ
เตรียมผู้จัดหาตลาดสินค้าที่มีการทำงานร่วมกับการเข้าถึงข้อมูลทางการตลาดในระบบอินทราเน็ตที่ใช้ Wirfd ของการเชื่อมโยงใน OLAP บริษัทพร้อมจะแบ่งส่วนในการทำงานของการขายร่ามกับผู้จัดหาสินค้าหลักอีกสองแหล่งทั้งหมด






